พลาสติกรีไซเคิล
เพื่อให้ธุรกิจพลาสติกรีไซเคิลประสบความสำเร็จในระยะยาวท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้น
สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
ผู้ประกอบการจะต้องขจัดอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้
1. ต้องคัดแยกขยะพลาสติกแต่ละประเภทให้ถูกต้อง เนื่องจากส่งผลต่อคุณภาพวัตถุดิบ
หากมีความเชี่ยวชาญ
ก็จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
2. ต้องมีโกดังจัดเก็บ เนื่องจากพลาสติกมีน้ำหนักเบา ขนาดและรูปร่างมีหลากหลาย
จำเป็นต้องใช้พื้นที่ในการจัดเก็บกว้างขวาง
การมีโกดังหรือพื้นที่มากจะทำให้สต็อกสินค้าไว้จำหน่ายในช่วงที่มีราคาสูงได้
3. มีการติดตามราคาซื้อ-ขายพลาสติกรีไซเคิลอย่างใกล้ชิด ทำให้ทราบถึงความเคลื่อนไหวของราคาซื้อขายและวางแผนการบริหารจัดการสินค้าคงคลังได้ดี
4. ควรมีเครื่องจักรในกระบวนการจัดเก็บและผลิต เพราะเครื่องจักรสามารถทำการผลิตได้ปริมาณมากในระยะเวลาอันรวดเร็ว
5. ควรมีคู่ค้าหลายราย เพื่อกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ กรณีที่สินค้าขาดตลาด
6. ควรร่วมมือกับชุมชนสำหรับการจัดเก็บและคัดแยกวัสดุรีไซเคิล ต้องร่วมมือกับชุมชนเพื่อรณรงค์ให้ชุมชนใส่ใจการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยการแยกขยะ
วงจรการเกิดขยะพลาสติกในประเทศ
1. การผลิตเม็ดพลาสติก
ในปี 2564 ไทยมีปริมาณการผลิตเม็ดพลาสติกใหม่
9.5 ล้านตัน โดย 5.6 ล้านตัน (58%) ถูกส่งออกไปตลาดต่างประเทศ
เหลืออีก 3.9 ล้านตัน จะถูกใช้ร่วมกับเม็ดพลาสติกนำเข้า 2 ล้านตัน
และเศษพลาสติกรีไซเคิล6 แสนตัน แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกใช้ภายในประเทศ โดยส่วนใหญ่เป็นบรรจุภัณฑ์พลาสติก
(40%)เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
(15%) การก่อสร้าง (15%) ชิ้นส่วนยานยนต์ (6%) และอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือน
(3%)
2. การนำเข้าเศษพลาสติก
ไทยนำเข้าเศษพลาสติกจากญี่ปุ่นเฉลี่ย
33% รองลงมาคือ สหรัฐอเมริกา และจีน ซึ่งเศษพลาสติกที่นำเข้าจะมีราคาถูกกว่าขยะพลาสติกภายในประเทศ
2-4 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ผู้ประกอบการ
โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล
โรงงานผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกหรือผลิตภัณฑ์ที่มีพลาสติกเป็นส่วนประกอบ เลือกนำเข้าเศษพลาสติกมากกว่าการใช้ขยะพลาสติกในประเทศ
3. ปริมาณขยะพลาสติกในประเทศ
ในแต่ละปีมีปริมาณขยะพลาสติกเฉลี่ย
2 - 2.5 ล้านตัน ซึ่งกำจัดด้วยการฝังกลบ เผา หรือเทกองรวมกับขยะอื่นๆ มีเพียง 20% หรือ 5.5 แสนตัน ที่นำกลับมาใช้เป็นเศษพลาสติกรีไซเคิล
เมื่อรวมกับเศษพลาสติกนำเข้าประมาณ 1.6 แสนตัน จึงมีการรีไซเคิลเศษพลาสติกรวม
7.1 แสนตัน และนำไปแปรรูปเป็นเม็ดพลาสติกโดยผสมกับเม็ดพลาสติกใหม่ในสัดส่วน 20-100%
ผลกระทบจากการห้ามนำเข้าเศษพลาสติก
ปัจจุบัน
ปริมาณการนำเข้าเศษพลาสติกของไทยมีแนวโน้มลดลง แต่ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยประมาณ 8 หมื่นตันต่อปี ภาครัฐจึงออกมาตรการห้ามนำเข้าเศษพลาสติกซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี
2568 โดยผู้เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการนี้
มีดังนี้
1. ธุรกิจร้านรับซื้อของเก่า
ร้านรับซื้อของเก่า
เป็นตัวกลางในการรับซื้อขยะจากประชาชนและซาเล้งเพื่อขายต่อให้กับโรงงานรีไซเคิลซึ่งราคาขายต่อพลาสติกรีไซเคิลที่ขายให้โรงงานจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยอยู่ในช่วง
1.2 ถึง 2 เท่าของราคาที่รับซื้อจากประชาชนและซาเล้ง
ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมินว่าราคาขายต่อพลาสติกรีไซเคิลของร้านรับซื้อของเก่าให้โรงงานรีไซเคิลในปี
2568 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่เฉลี่ย 15.4 บาทต่อกิโลกรัม สูงกว่าราคาขายต่อพลาสติกรีไซเคิลในปี 2565 ประมาณ 15%
2. ธุรกิจรีไซเคิลและผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล
เนื่องจากโรงงานรีไซเคิลจะรับซื้อพลาสติกรีไซเคิลภายในประเทศร่วมกับการนำเข้าเศษพลาสติก
มาผลิตเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิล ซึ่งแต่ละปีไทยใช้เศษพลาสติกนำเข้าจากต่างประเทศมาแปรรูปเป็นเม็ดพลาสติก
รีไซเคิลเฉลี่ย 25% ของเศษพลาสติกทั้งหมด จากข้อมูลของกรมโรงงานอุตสาหกรรมชี้ว่าในปี 2565 ไทยมีโรงงานที่เกี่ยวข้องกับการรีไซเคิลพลาสติก 4,770 แห่ง ในปี 2568 โรงงานรีไซเคิลจะเผชิญกับความท้าทายจากผลกระทบจากมาตรการห้ามนำเข้าเศษพลาสติก
ทำให้ราคาเศษพลาสติกภายในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น ผู้ประกอบการ
จำเป็นต้องเร่งจัดหาเศษพลาสติกภายในประเทศ ในระยะสั้นอาจเกิดภาวะอุปทานตึงตัวและกระทบต่อการขยายกิจการ
แต่หากมีระบบจัดการที่มีประสิทธิภาพปริมาณเศษพลาสติกในประเทศจะเพียงพอต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม
และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศประมาณ 1.2-1.4 แสนล้านบาทต่อปี
เนื่องจากในแต่ละปี ไทยมีปริมาณขยะพลาสติกเฉลี่ยมากถึง 2-2.5 ล้านตัน เป็นพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง
ได้แก่ ถุงพลาสติก (57.5%) ขวดพลาสติก (20.7%) แก้ว กล่องหรือถาดพลาสติก (11.9%) และอื่น ๆ (9.9%) ถูกนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล 20% หรือประมาณ
5 แสนตัน
มาตรการห้ามนำเข้าเศษพลาสติกจะเป็นปัจจัยผลักดันให้ภาครัฐส่งเสริมการใช้เศษพลาสติกในประเทศมากขึ้น รวมทั้งสร้างความร่วมมือตลอดห่วงโซ่อุปทานในการคัดแยกและรวบรวม ทำให้เศษพลาสติกที่ยังไม่ได้นำกลับมาใช้ประโยชน์เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้เพียงพอต่อความต้องการ
โดยส่วนใหญ่เป็นเศษพลาสติกประเภท PET, PE และ PP
3. ธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติก
มาตรการห้ามนำเข้าเศษพลาสติกจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ใช้เม็ดพลาสติกรีไซเคิล เช่น ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ ผู้ผลิตเส้นใยสังเคราะห์ เป็นต้น ต้นทุนของเม็ดพลาสติกรีไซเคิลมีแนวโน้มสูงขึ้นตามต้นทุนของวัตถุดิบ ซึ่งผู้ผลิตจะผลักภาระต้นทุนบางส่วนไปให้ผู้บริโภค
การลดก๊าซเรือนกระจก
หากมีการใช้เศษพลาสติกภายในประเทศ
100% คาดว่าภายในปี 2570 จะช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกในประเทศราว 1.5 ล้านตันต่อปี และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 1.55
ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี เทียบได้การปลูกป่า 130 ล้านต้น หรือพื้นที่ป่า 1.3
ล้านไร่ เนื่องจากการรีไซเคิลพลาสติกจะลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงเทียบกับการผลิตวัตถุดิบตั้งต้นใหม่
(Virgin material) และลดการฝังกลบหรือการเผาโดยประเมินด้วยโปรแกรมคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก
(องค์การมหาชน) (อ้างอิงข้อมูลจาก US EPA’s Waste Reduction Model(WARM)) ระบุค่าสัมประสิทธิ์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิสำหรับการนำขยะพลาสติกไปรีไซเคิลทดแทนวัตถุดิบตั้งต้นใหม่อยู่ที่
1,031 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อตันพลาสติก
การปรับตัวของผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมพลาสติก
1. ผู้ประกอบการรีไซเคิลและผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติก
- วางแผนจัดหาขยะพลาสติกให้เพียงพอต่อความต้องการ
โดยอาจร่วมมือกับพันธมิตรคู่ค้าในห่วงโซ่อุปทาน หรือจัดหาแหล่งขายขยะพลาสติกผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม
- มีความรับผิดชอบต่อผลิตภัณฑ์พลาสติก
โดยการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์พลาสติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิล 100% ตั้งจุดรับคืน (Drop-off) บรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้วจากผู้บริโภคเพื่อเพิ่มช่องทางในการนำขยะพลาสติกกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล
2. ภาครัฐ
- ออกกฎหมายหรือมาตรการจูงใจให้ประชาชนคัดแยกขยะจากต้นทางอย่างจริงจัง
อาจพิจารณากำหนดอัตราค่าธรรมเนียมจัดการขยะที่ผ่านการคัดแยกถูกกว่าขยะที่ไม่ได้คัดแยก
การกำหนดบทลงโทษกับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคัดแยกขยะ ยกตัวอย่างเช่น
รัฐบาลเยอรมนีออกกฎหมาย Waste, Avoidance, Recycling and
Disposal Act เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนลดและคัดแยกขยะ โดยประชาชนที่ไม่คัดแยกขยะหรือทิ้งขยะในถังขยะผิดประเภทจะเสียค่าปรับ 100-1,800 ยูโร
หรือประมาณ 3,700-67,000 บาท เป็นต้น ซึ่งช่วยให้ภาครัฐประหยัดงบประมาณในการกำจัดและจัดการของเสีย
อีกทั้งช่วยยกระดับคุณภาพของขยะพลาสติก
- เน้นสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
โดยภาครัฐสนับสนุนงบประมาณลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการรีไซเคิล รวมทั้งส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุนหรือร่วมลงทุนในการพัฒนาระบบฐานข้อมูลขยะพลาสติกในแต่ละพื้นที่เพื่อประโยชน์ในการวางแผนรีไซเคิล
- ออกมาตรการส่งเสริมการใช้ขยะพลาสติกในประเทศ เช่น การจัดเก็บภาษีพลาสติก
(Plastic Tax) ที่ไม่ใช้วัสดุรีไซเคิล การกำหนดสัดส่วนการใช้วัสดุรีไซเคิลขั้นต่ำ
(Recycled Content) ในการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก ยกตัวอย่างเช่น
สหภาพยุโรปจัดเก็บภาษีพลาสติกและกำหนดสัดส่วนการใช้พลาสติกรีไซเคิลอย่างน้อย 25% ในขวดพลาสติกใสภายในปี 2568 และอย่างน้อย 30% ในขวดเครื่องดื่มพลาสติกทั้งหมดภายในปี 2573 เป็นต้น
ซึ่งช่วยกระตุ้นให้ผู้ผลิตหันมาใช้ขยะพลาสติกรีไซเคิลภายในประเทศมากขึ้น
แสดงความคิดเห็น