เศษพลาสติก อนาคตของธุรกิจรีไซเคิล


    ปัจจุบัน ธุรกิจรีไซเคิลได้รับความสนใจมากขึ้น ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากนโยบายเศรษฐกิจ BCG ของประเทศโดยมาตรการสนับสนุนของโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy; C) เนื่องจากกระแสอนุรักษ์นิยมของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศที่ให้ความสำคัญของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียนมุ่งเน้นการสร้างนิเวศเศรษฐกิจที่สนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมนำของเสีย ของใช้แล้วผลิตภัณฑ์หมดอายุการใช้งานกลับมาเป็นทรัพยากรในกระบวนการผลิตซ้ำหลาย ๆ รอบ โดยปรับเปลี่ยนวิธีคิดเทคนิค วิธีการ และกระบวนการที่เกี่ยวข้อง ให้ครอบคลุมทั้งวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์โดยการ Reduce (ลดการใช้)Reuse (ใช้ซ้ำ), Refill (การเติม), Return (การคืน), Repair (การซ่อม)/Repurpose (การเปลี่ยนวัตถุประสงค์ใช้งาน), Replace (การเทนที่) และ Recycle (การแปรรูปใช้ใหม่) ใช้พลังงานหมุนเวียน Renewable Energy เพื่อให้เกิดของเสีย (น้ำเสีย ขยะ ของเหลือ อากาศเสีย) ให้น้อยที่สุด นำของเสียจากกระบวนการผลิตกลับมาใช้ประโยชน์และบำบัดก่อนปล่อยทิ้งโดยไม่ให้ก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สำหรับธุรกิจรีไซเคิลนั้นยังได้รับการสนับสนุนด้วยมาตรการทางภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนใหม่เกี่ยวกับกิจการรีไซเคิล ได้แก่ 1) กิจการคัดแยกวัสดุรีไซเคิลจะได้รับยกเว้นภาษีนิติบุคคลเป็นเวลา 5 ปี และยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักร 2) กิจการคัดแยกวัสดุรีไซเคิลที่มีการแปรรูปหรือนำกลับมาใช้ประโยชน์อีก จะได้รับยกเว้นภาษีเป็นระยะเวลา 8 ปี และยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักร ทำให้ธุรกิจรีไซเคิลมีความได้เปรียบทางต้นทุน อนาคตของธุรกิจรีไซเคิลจึงมีแนวโน้มเติบโตและขยายตัวได้อีกมาก โอกาสของธุรกิจรีไซเคิลเปิดกว้างสำหรับผู้ประกอบการทั้งรายเก่ารายใหม่ รวมทั้ง Startup ที่เกี่ยวกับเนื่องกับธุรกิจรีไซเคิลทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ อาทิ ธนาคารขยะ ศูนย์รวบรวมวัสดุรีไซเคิล ธุรกิจรับซื้อของเก่าหรือวัสดุรีไซเคิล ธุรกิจรับบดย่อยวัสดุรีไซเคิล ธุรกิจหลอม รีด ตัดเม็ด ตลอดจนrecycle platform startup อื่น ๆ

ความเข้าใจเกี่ยวกับการรีไซเคิล

    คำว่า “รีไซเคิล” หรือ Recycle หมายถึง การนำกลับมาแปรรูปใช้ประโยชน์ใหม่ โดยผ่านกระบวนการหรือใช้เทคโนโลยี ผลจากการรีไซเคิลจะได้ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ยังคงรูปแบบเดิมหรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปอย่างสิ้นเชิงก็ได้ สัญลักษณ์ของ “รีไซเคิล” เป็นเครื่องหมายลูกศร 3 ชิ้น ที่หมุนวนไปในทางเดียวกัน หรือเรียกว่า “Mobius Loop” ซึ่งหมายถึง ผลิตภัณฑ์นั้นสามารถรีไซเคิลได้ หรือ ผลิตภัณฑ์นั้นทำมาจากวัสดุรีไซเคิล บางครั้งเราอาจเห็นตัวเลขหรือตัวอักษรภาษาอังกฤษกำกับอยู่บริเวณเดียวกับสัญลักษณ์ ซึ่งหมายถึง ประเภทของวัสดุ โดยเฉพาะในวัสดุประเภทพลาสติก ตัวเลขที่กำกับภายในสัญลักษณ์รีไซเคิล ใช้บอกถึงประเภทของพลาสติก เพื่อให้ง่ายต่อการจำแนกเพื่อนำกลับไปรีไซเคิล


เหตุผลที่ต้องรีไซเคิลพลาสติก


    “พลาสติก” เป็นวัสดุที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต และจำเป็นต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่องต่าง ๆ เป็นเหตุให้ปริมาณการบริโภคผลิตภัณฑ์พลาสติกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ปริมาณขยะที่มากขึ้นตามไปด้วย แต่มีพลาสติกบางประเภทเท่านั้นที่นำกลับมาผลิตเพื่อใช้งานใหม่ด้วยกระบวนการรีไซเคิลได้ จึงจำเป็นต้องมีกระบวนการจัดการ ตั้งแต่การคัดแยก จนถึงการรีไซเคิลอย่างถูกวิธี
    พลาสติก ผลิตมาจากปิโตรเลียมซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วหมดไป ในอนาคตจะเกิดสภาวะขาดแคลนมีการแก่งแย่งและราคาสูง เศษพลาสติกจึงเป็นวัสดุที่มีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนทางธุรกิจที่ดีและคุ้มค่าชนิดหนึ่ง คาดว่าอุปสงค์ของผู้ผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และความเป็นจริงในปัจจุบันพลาสติกที่ผู้บริโภคลำดับสุดท้ายทิ้งให้เป็นขยะสามารถสร้างอุปทานให้อุตสาหกรรมพลาสติกได้อีกมหาศาล

อุตสาหกรรมพลาสติกรีไซเคิลในประเท

    ปัจจุบัน อุตสาหกรรมพลาสติกรีไซเคิลในไทย ประกอบไปด้วย 4 ธุรกิจหลัก คือ
    1.ธุรกิจรับซื้อของเก่าหรือขยะรีไซเคิล โดยรับซื้อขยะพลาสติกมาจากซาเล้งหรือรถรับซื้อขยะตามบ้านเรือน คนเก็บขยะ หรือรับซื้อจากผู้บริโภคโดยตรง
    2. ธุรกิจรับย่อยขยะพลาสติก โดยรับซื้อขยะพลาสติกมาจากร้านรับซื้อขยะรีไซเคิล แล้วนำขยะพลาสติกที่แยกประเภทแล้วมาย่อยหรือบดเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วล้างทำความสะอาด
    3. ธุรกิจหลอม รีด และตัดเม็ดพลาสติก โดยนำเศษพลาสติกบดแล้ว มาหลอม รีด และตัดเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิล เพื่อจำหน่ายให้แก่โรงงานนำไปขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกต่อไป
    4. ธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกรีไซเคิล รับซื้อเม็ดพลาสติกรีไซเคิลเพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบในการขึ้นรูปพลาสติกรีไซเคิล

พลาสติกรีไซเคิล

    เพื่อให้ธุรกิจพลาสติกรีไซเคิลประสบความสำเร็จในระยะยาวท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้น สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ผู้ประกอบการจะต้องขจัดอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้
    1. ต้องคัดแยกขยะพลาสติกแต่ละประเภทให้ถูกต้อง เนื่องจากส่งผลต่อคุณภาพวัตถุดิบ หากมีความเชี่ยวชาญ ก็จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
    2. ต้องมีโกดังจัดเก็บ เนื่องจากพลาสติกมีน้ำหนักเบา ขนาดและรูปร่างมีหลากหลาย จำเป็นต้องใช้พื้นที่ในการจัดเก็บกว้างขวาง การมีโกดังหรือพื้นที่มากจะทำให้สต็อกสินค้าไว้จำหน่ายในช่วงที่มีราคาสูงได้
    3. มีการติดตามราคาซื้อ-ขายพลาสติกรีไซเคิลอย่างใกล้ชิด ทำให้ทราบถึงความเคลื่อนไหวของราคาซื้อขายและวางแผนการบริหารจัดการสินค้าคงคลังได้ดี
    4. ควรมีเครื่องจักรในกระบวนการจัดเก็บและผลิต เพราะเครื่องจักรสามารถทำการผลิตได้ปริมาณมากในระยะเวลาอันรวดเร็ว
    5. ควรมีคู่ค้าหลายราย เพื่อกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ กรณีที่สินค้าขาดตลาด
    6. ควรร่วมมือกับชุมชนสำหรับการจัดเก็บและคัดแยกวัสดุรีไซเคิล ต้องร่วมมือกับชุมชนเพื่อรณรงค์ให้ชุมชนใส่ใจการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยการแยกขยะ

วงจรการเกิดขยะพลาสติกในประเทศ

    1. การผลิตเม็ดพลาสติก

    ในปี 2564 ไทยมีปริมาณการผลิตเม็ดพลาสติกใหม่ 9.5 ล้านตัน โดย 5.6 ล้านตัน (58%) ถูกส่งออกไปตลาดต่างประเทศ เหลืออีก 3.9 ล้านตัน จะถูกใช้ร่วมกับเม็ดพลาสติกนำเข้า 2 ล้านตัน และเศษพลาสติกรีไซเคิล6 แสนตัน แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกใช้ภายในประเทศ โดยส่วนใหญ่เป็นบรรจุภัณฑ์พลาสติก (40%)เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (15%) การก่อสร้าง (15%) ชิ้นส่วนยานยนต์ (6%) และอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือน (3%)

    2. การนำเข้าเศษพลาสติก

    ไทยนำเข้าเศษพลาสติกจากญี่ปุ่นเฉลี่ย 33% รองลงมาคือ สหรัฐอเมริกา และจีน ซึ่งเศษพลาสติกที่นำเข้าจะมีราคาถูกกว่าขยะพลาสติกภายในประเทศ 2-4 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ผู้ประกอบการ โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล โรงงานผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกหรือผลิตภัณฑ์ที่มีพลาสติกเป็นส่วนประกอบ เลือกนำเข้าเศษพลาสติกมากกว่าการใช้ขยะพลาสติกในประเทศ


    3. ปริมาณขยะพลาสติกในประเทศ

    ในแต่ละปีมีปริมาณขยะพลาสติกเฉลี่ย 2 - 2.5 ล้านตัน ซึ่งกำจัดด้วยการฝังกลบ เผา หรือเทกองรวมกับขยะอื่นๆ มีเพียง 20% หรือ 5.5 แสนตัน ที่นำกลับมาใช้เป็นเศษพลาสติกรีไซเคิล เมื่อรวมกับเศษพลาสติกนำเข้าประมาณ 1.6 แสนตัน จึงมีการรีไซเคิลเศษพลาสติกรวม 7.1 แสนตัน และนำไปแปรรูปเป็นเม็ดพลาสติกโดยผสมกับเม็ดพลาสติกใหม่ในสัดส่วน 20-100%

ผลกระทบจากการห้ามนำเข้าเศษพลาสติก


    ปัจจุบัน ปริมาณการนำเข้าเศษพลาสติกของไทยมีแนวโน้มลดลง แต่ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยประมาณ 8 หมื่นตันต่อปี ภาครัฐจึงออกมาตรการห้ามนำเข้าเศษพลาสติกซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2568 โดยผู้เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการนี้ มีดังนี้

    1. ธุรกิจร้านรับซื้อของเก่า

ร้านรับซื้อของเก่า เป็นตัวกลางในการรับซื้อขยะจากประชาชนและซาเล้งเพื่อขายต่อให้กับโรงงานรีไซเคิลซึ่งราคาขายต่อพลาสติกรีไซเคิลที่ขายให้โรงงานจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยอยู่ในช่วง 1.2 ถึง 2 เท่าของราคาที่รับซื้อจากประชาชนและซาเล้ง ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมินว่าราคาขายต่อพลาสติกรีไซเคิลของร้านรับซื้อของเก่าให้โรงงานรีไซเคิลในปี 2568 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่เฉลี่ย 15.4 บาทต่อกิโลกรัม สูงกว่าราคาขายต่อพลาสติกรีไซเคิลในปี 2565 ประมาณ 15%

    2. ธุรกิจรีไซเคิลและผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล

    เนื่องจากโรงงานรีไซเคิลจะรับซื้อพลาสติกรีไซเคิลภายในประเทศร่วมกับการนำเข้าเศษพลาสติก มาผลิตเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิล ซึ่งแต่ละปีไทยใช้เศษพลาสติกนำเข้าจากต่างประเทศมาแปรรูปเป็นเม็ดพลาสติก
รีไซเคิลเฉลี่ย 25% ของเศษพลาสติกทั้งหมด จากข้อมูลของกรมโรงงานอุตสาหกรรมชี้ว่าในปี 2565 ไทยมีโรงงานที่เกี่ยวข้องกับการรีไซเคิลพลาสติก 4,770 แห่ง ในปี 2568 โรงงานรีไซเคิลจะเผชิญกับความท้าทายจากผลกระทบจากมาตรการห้ามนำเข้าเศษพลาสติก ทำให้ราคาเศษพลาสติกภายในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น ผู้ประกอบการ จำเป็นต้องเร่งจัดหาเศษพลาสติกภายในประเทศ ในระยะสั้นอาจเกิดภาวะอุปทานตึงตัวและกระทบต่อการขยายกิจการ แต่หากมีระบบจัดการที่มีประสิทธิภาพปริมาณเศษพลาสติกในประเทศจะเพียงพอต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศประมาณ 1.2-1.4 แสนล้านบาทต่อปี เนื่องจากในแต่ละปี ไทยมีปริมาณขยะพลาสติกเฉลี่ยมากถึง 2-2.5 ล้านตัน เป็นพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ได้แก่ ถุงพลาสติก (57.5%) ขวดพลาสติก (20.7%) แก้ว กล่องหรือถาดพลาสติก (11.9%) และอื่น ๆ (9.9%) ถูกนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล 20% หรือประมาณ 5 แสนตัน

    มาตรการห้ามนำเข้าเศษพลาสติกจะเป็นปัจจัยผลักดันให้ภาครัฐส่งเสริมการใช้เศษพลาสติกในประเทศมากขึ้น รวมทั้งสร้างความร่วมมือตลอดห่วงโซ่อุปทานในการคัดแยกและรวบรวม ทำให้เศษพลาสติกที่ยังไม่ได้นำกลับมาใช้ประโยชน์เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้เพียงพอต่อความต้องการ โดยส่วนใหญ่เป็นเศษพลาสติกประเภท PET, PE และ PP


    3. ธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติก

    มาตรการห้ามนำเข้าเศษพลาสติกจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ใช้เม็ดพลาสติกรีไซเคิล เช่น ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ ผู้ผลิตเส้นใยสังเคราะห์ เป็นต้น ต้นทุนของเม็ดพลาสติกรีไซเคิลมีแนวโน้มสูงขึ้นตามต้นทุนของวัตถุดิบ ซึ่งผู้ผลิตจะผลักภาระต้นทุนบางส่วนไปให้ผู้บริโภค

การลดก๊าซเรือนกระจก

    หากมีการใช้เศษพลาสติกภายในประเทศ 100% คาดว่าภายในปี 2570 จะช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกในประเทศราว 1.5 ล้านตันต่อปี และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 1.55 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี เทียบได้การปลูกป่า 130 ล้านต้น หรือพื้นที่ป่า 1.3 ล้านไร่ เนื่องจากการรีไซเคิลพลาสติกจะลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงเทียบกับการผลิตวัตถุดิบตั้งต้นใหม่ (Virgin material) และลดการฝังกลบหรือการเผาโดยประเมินด้วยโปรแกรมคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อ้างอิงข้อมูลจาก US EPA’s Waste Reduction Model(WARM)) ระบุค่าสัมประสิทธิ์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิสำหรับการนำขยะพลาสติกไปรีไซเคิลทดแทนวัตถุดิบตั้งต้นใหม่อยู่ที่ 1,031 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อตันพลาสติก

การปรับตัวของผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมพลาสติก


    1. ผู้ประกอบการรีไซเคิลและผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติก

    - วางแผนจัดหาขยะพลาสติกให้เพียงพอต่อความต้องการ โดยอาจร่วมมือกับพันธมิตรคู่ค้าในห่วงโซ่อุปทาน หรือจัดหาแหล่งขายขยะพลาสติกผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม
    - มีความรับผิดชอบต่อผลิตภัณฑ์พลาสติก โดยการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์พลาสติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิล 100% ตั้งจุดรับคืน (Drop-off) บรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้วจากผู้บริโภคเพื่อเพิ่มช่องทางในการนำขยะพลาสติกกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล

    2. ภาครัฐ

    - ออกกฎหมายหรือมาตรการจูงใจให้ประชาชนคัดแยกขยะจากต้นทางอย่างจริงจัง อาจพิจารณากำหนดอัตราค่าธรรมเนียมจัดการขยะที่ผ่านการคัดแยกถูกกว่าขยะที่ไม่ได้คัดแยก การกำหนดบทลงโทษกับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคัดแยกขยะ ยกตัวอย่างเช่น รัฐบาลเยอรมนีออกกฎหมาย Waste, Avoidance, Recycling and Disposal Act เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนลดและคัดแยกขยะ โดยประชาชนที่ไม่คัดแยกขยะหรือทิ้งขยะในถังขยะผิดประเภทจะเสียค่าปรับ 100-1,800 ยูโร หรือประมาณ 3,700-67,000 บาท เป็นต้น ซึ่งช่วยให้ภาครัฐประหยัดงบประมาณในการกำจัดและจัดการของเสีย อีกทั้งช่วยยกระดับคุณภาพของขยะพลาสติก
    - เน้นสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน โดยภาครัฐสนับสนุนงบประมาณลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการรีไซเคิล รวมทั้งส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุนหรือร่วมลงทุนในการพัฒนาระบบฐานข้อมูลขยะพลาสติกในแต่ละพื้นที่เพื่อประโยชน์ในการวางแผนรีไซเคิล
    - ออกมาตรการส่งเสริมการใช้ขยะพลาสติกในประเทศ เช่น การจัดเก็บภาษีพลาสติก (Plastic Tax) ที่ไม่ใช้วัสดุรีไซเคิล การกำหนดสัดส่วนการใช้วัสดุรีไซเคิลขั้นต่ำ (Recycled Content) ในการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก ยกตัวอย่างเช่น สหภาพยุโรปจัดเก็บภาษีพลาสติกและกำหนดสัดส่วนการใช้พลาสติกรีไซเคิลอย่างน้อย 25% ในขวดพลาสติกใสภายในปี 2568 และอย่างน้อย 30% ในขวดเครื่องดื่มพลาสติกทั้งหมดภายในปี 2573 เป็นต้น ซึ่งช่วยกระตุ้นให้ผู้ผลิตหันมาใช้ขยะพลาสติกรีไซเคิลภายในประเทศมากขึ้น

หมายเหตุ: อ้างอิงจาก

1. Krungthai COMPASS. (2567). เข้าถึงได้จาก https://krungthai.com/Download/economyresources/
EconomyResourcesDownload_442how_to_bin_final.pdf

2. ThaiBublica.(2566). Krungthai COMPASS วิเคราะห์ “ส่องความท้าทายของผู้ประกอบการ หลังภาครัฐแบนนำเข้าเศษพลาสติก”. เข้าถึงได้จาก https://thaipublica.org/2023/05/krungthai-compass52/

Post a Comment

ใหม่กว่า เก่ากว่า